เทศน์บนศาลา

ธรรมมีไว้ดัดตน

๖ ก.ค. ๒๕๔๘

 

ธรรมมีไว้ดัดตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต. คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีไว้ดัดแปลงตนนะ ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เสวยวิมุตติสุข ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์ทนทรมานค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ขณะที่ค้นคว้าเป็นความทุกข์มาก ความทุกข์เพราะพยายามค้นคว้าหาสัจธรรม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สร้างเป็นพระโพธิสัตว์มา เวลาเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นพระโพธิสัตว์ ค้นคว้าอยู่ ๖ ปี

ธรรมอันนี้เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา เสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุขอยู่ที่ไหนล่ะ? วิมุตติสุขอยู่ที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สิ่งนี้พลิกฟ้าคว่ำดิน ใจจากปุถุชน จากจิตปกติของเรา พลิกออกไปจนพ้นจากวัฏฏะเห็นไหม พ้นออกจากสมมุติทั้งหมดเลยเป็นวิมุตติไง นี่วิมุตติสุข

ธรรมอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสยัมภู ตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่ถ้าเป็นสาวก-สาวกะเห็นไหม สาวก-สาวกะผู้ได้ยินได้ฟัง ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสำคัญมาก สำคัญที่ว่าถ้าเรามีความศรัทธา มีความเชื่อ เราจะเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่มีศรัทธามีความเชื่อเห็นไหม เวลาว่าฟังธรรมนี้เป็นแสนยาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แล้วเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาจะมีโอกาสฟังธรรมไหม สมัยก่อน สมัยพุทธกาล ได้ยินได้ฟังมาจากปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือของสาวกต่างๆ แต่ในปัจจุบันนี้การสื่อสารเจริญมาก เวลาว่าฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ได้ยินได้ฟังแสนยาก ได้ยินได้ฟังที่ออกมาจากสถานีวิทยุ ออกมาจากต่างๆ มันธรรมจริงหรือธรรมปลอมล่ะ

ถ้าเป็นธรรมจริงมันสะเทือนหัวใจนะ ธรรมจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม พระถามว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร” เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของธรรมไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กราบธรรมอันนั้น”

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้สิ่งที่มีแล้ว สิ่งที่มีอยู่แล้วแต่ถ้าไม่มีคนเข้าไปรู้มัน ไม่มีคนเข้าไปสัมผัสมัน สิ่งนั้นก็มีอยู่โดยธรรมชาติของเขา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบารมีมาขนาดที่ว่า ๔ อสงไขย แสนมหากัป ถึงเข้าไปตรัสรู้ธรรมอันนี้ไง แล้วมีปัญญา ปัญญาวางธรรมไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี เพราะว่าเป็นบัญญัติ นี่สมมุติบัญญัติ ถ้าไม่มีบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเอาอะไรสื่อสารกัน

เราสื่อกันด้วยบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้บิดเบือนไป สิ่งที่บิดเบือนไป ผู้เข้าไปรู้เข้าไปเห็นต่างๆ ก็จะบิดเบือนไปตามความรู้ความเห็นของเขา ถ้าบิดเบือนไปตามความเห็นความรู้ของเขา นี่ธรรมเห็นไหม โปฐิละที่ว่ารู้ธรรมนะ แม้แต่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่โปฐิละศึกษามากแล้วสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาได้ ๕๐๐ คน ก็มีสาวก มีผู้ที่มาศึกษาอยู่

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอก “ใบลานเปล่า ใบลานเปล่า”

ขณะที่ว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยินได้ฟังอยู่ โปฐิละสอนไม่ผิด เพราะสอนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะที่ว่าสอนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมจากการศึกษามาไง

แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุขมาจากไหน? มาจากใจที่ทุกข์ร้อน ใจนี่ทุกข์ร้อนมาก มีกิเลสตัณหามันเผาลนใจ แต่ขณะที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันมีความสุขมาก ความสุข...สุขแปลกโลกไง

โลกเขาเห็นไหม การแสวงหา การที่ว่ากิเลสมันย่ำยีในหัวใจ มีความทุกข์ร้อนอย่างนั้น มันไม่เคยมีความสุขอย่างนี้ แต่ความสุข วิมุตติสุข มันพ้นออกไปจากขันธ์ จากความรู้สึก จากสมมุติต่างๆ โลกเขาเป็นอามิส เราปรารถนาสิ่งใดเราตั้งใจ เราปรารถนา เราอธิษฐานเอา แล้วเราพยายามค้นคว้า พยายามทำสิ่งนั้นขึ้นมา ถ้าเป็นทิพย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอรหันต์ ๖๐ องค์

“เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ และตัวเธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก”

“บ่วงที่เป็นโลก” โลกธรรมก็เป็นบ่วงของโลก สิ่งต่างๆ ตัณหาความทะยานอยากนี่เป็นเรื่องของโลก

“บ่วงที่เป็นทิพย์” ผู้ที่ทำบุญกุศล สิ่งนี้มันให้ผลเป็นทิพย์ เป็นทิพย์เกิดในวัฏฏะไง

แต่ถ้าเป็น “วิมุตติสุข” พ้นจากบ่วงที่เป็นโลก แล้วก็พ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์นี้ด้วย

สิ่งที่เป็นทิพย์มันเรื่องของหัวใจ เรื่องของหัวใจ นามธรรม เวลาตายจาก จุติเกิดจากภพชาติต่างๆ เพราะจิตนี้มันเวียนตายเวียนเกิด เพราะสสารของธาตุรู้นี้ไม่เคยทำลาย แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากหรือบุญกุศลที่มันพอกเข้าไปในจิตนั้น เราทำคุณงามความดี สิ่งนั้นก็สะสมลงที่ใจ เพราะใครเป็นคนทำ มนุษย์ทำดีนะ ทำดีก็ต้องมีหัวใจ มีการนึกคิดขึ้นมาจากใจนั้น มีเจตนา มีการกระทำจากใจก่อน มีมโนก่อน มีเจตนาก่อน สิ่งที่ก่อนเกิดมีความคิดออกมาจากคิดจึงเกิดการกระทำ สิ่งนั้นเป็นบุญกุศลก็สะสมลงที่ใจ สิ่งนั้นเป็นบาปอกุศลก็สะสมลงที่ใจ นี่ที่ว่าเป็นทิพย์ไง

“พ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์” เพราะขณะที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาสิ่งนี้โดนทำลายหมด อาสวักขยญาณจะทำลายข้อมูลในหัวใจทั้งหมด สิ่งที่ทำลายข้อมูลในหัวใจทั้งหมด ข้อมูลไง สิ่งที่ข้อมูลเห็นไหม ละขันธ์มาอย่างหยาบๆ ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียดเข้ามา ละสิ่งที่เป็นภาระรุงรังของใจ ใจนี้ออกแสวงหาเหยื่อโดยผ่านขันธ์ ๕ ผ่านความรู้สึกต่างๆ ขึ้นมา ทำลายเขาหมดเลย แล้วก็มีข้อมูล คือตัวธาตุรู้นี้มันปล่อยเอาเข้ามาทั้งหมดแล้ว มาทำลายข้อมูลอันนี้ไง ถ้าทำลายข้อมูลอันนี้หมด สิ่งที่ว่าเป็นทิพย์ เป็นทิพย์ที่สะสมมา มันทำลายทั้งหมด ถ้าทำลายทั้งหมด นี่ว่าง โลกนี้ว่าง โลกนี้ว่างนะ

ถ้าโลกนี้ว่างโดยที่เรามีเราอยู่ เราก็ไปยึดเพราะเราเป็นความว่าง

แต่ถ้าโลกนี้ว่างแล้วทำลายตัวที่รู้ว่าว่างนั้นอีกต่างหาก นี่วิมุตติสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขอันนี้แล้วเผยแผ่ธรรมมา สิ่งที่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดมาเป็นสาวก-สาวกะผู้ได้ยินได้ฟัง เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นบุญกุศลมหาศาลเลย เพราะสิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก

จิตมีมหาศาลในอวกาศ ในอากาศนี้มีจิตซับซ้อนอยู่เต็มไปหมดเลย แต่เขาจะมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ไหม เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม สิ่งที่ว่าปฏิเสธว่ามีหรือไม่มีก็แล้วแต่ จิตสงบเข้าไปจะเห็นสภาวะแบบนั้น สิ่งที่เป็นอินทร์ เป็นพรหมของเขา เขาก็เสวยสุขของเขา เพราะเขาทำบุญกุศลของเขามา สิ่งที่เป็นบาปอกุศลตกนรกอเวจีต่างๆ จะเห็นไม่เห็นก็แล้วแต่ เขาก็ต้องเสวยทุกข์ของเขาเพราะเขาทำบาปอกุศลของเขามา

เป็นวาระของจิต วาระที่เกิดในภพชาติใดก็ใช้ชีวิตในภพชาตินั้นจนหมดวาระ ก็เกิดเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้ ถึงจะเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ามีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ จากเทวดา อินทร์ พรหมลงมาก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ ในธรรมบทบอกไว้ เทวดาเขาจะหมดอายุ ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์เถิด เพราะเกิดเป็นมนุษย์จะได้สร้างสมบุญญาธิการขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาอีก นี่วุฒิภาวะของเทวดามีเท่านี้ มีที่ว่าลงมาสร้างเหตุแล้วจะกลับไปหาผลอันนั้น

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่” สิ่งนี้เป็นวัฏฏะเป็นที่วนเวียนไปของจิต จิตจะต้องไปค้าง ไปพักที่สถานะของภพชาติใด นั้นเป็นบุญกุศลและบาปอกุศล ทำให้จิตมีกำลังขับเคลื่อนของบาปอกุศล กำลังขับเคลื่อนของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันสะสมลงที่ใจ แล้วสิ่งที่ในหัวใจมันก็มีข้อมูลที่การสะสมนี้มา มันถึงเป็นวาระไง

วาระที่สิ่งใดให้ผล บาปอกุศลให้ผล สิ่งนั้นก็ต้องเกิดในนรกอเวจี ถ้าสิ่งที่บุญกุศลให้ผล วาระนั้นให้ผล เราก็เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เหมือนกับเราออกจากบ้านไง เราใส่ชุดอะไร ข้าราชการก็ใส่เครื่องแบบของข้าราชการ ชุดที่เราจะไปงานเลี้ยงไปงานมงคลเราก็แต่งชุดหนึ่ง ชุดที่ออกไปทำงาน ชุดไปออกกำลังกายก็ชุดหนึ่ง เห็นไหม เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเราก็ยังเปลี่ยนได้เลย

อารมณ์ก็เหมือนกับอารมณ์ของใจไง อาภรณ์ของจิต สิ่งที่อาภรณ์ของจิตคืออารมณ์ความรู้สึกอันนี้ อารมณ์ความรู้สึกมันเกาะเกี่ยวสิ่งใดล่ะ ทำบาปอกุศลไว้ ทำบุญกุศลไว้มากมายเลยแต่จิตไปเกาะเกี่ยวกับเคยทำความผิดพลาดอันนั้นไว้ เวลาดับมันไปอันนั้นก่อนไง เพราะมันเกาะเกี่ยวอันนั้นไง นี่มันสวมอารมณ์อันนี้ออกไปก่อน

ถ้าสวมอารมณ์นี้ไปก่อน นี่วัฏฏะสิ่งนี้เวียนวนไปตลอด ข้อมูลอยู่กับใจนี้แล้วทำลายออกหมด สิ่งที่เป็นภาระรุงรังของใจไม่มี มันจะว่างของมัน ว่างจากภายนอกเข้ามา แล้วว่างจากภายใน วิมุตติสุขเป็นอย่างนี้ นี่สภาวธรรม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางไว้ให้เราก้าวเดินตามนะ

“ธรรมมีไว้ดัดตน” ถ้าดัดตน ดูในโลกเขา เขาทำไม้ดัดกัน โลกที่เขาทำไม้ดัดกัน ต้นไม้ดัด เขาต้องมีวิชาการของเขานะ ไม้ประเภทใดจะดัดได้หรือไม่ได้ ไม่มีใครเขาเอาต้นประดู่ เอาต้นไม้แดงไปดัดเป็นไม้ดัดหรอก ไม้ดัดมันก็ใช้ไม้ของเขา ต้นข่อย ต้นสิ่งต่างๆ ไม้จะดัดได้ มันก็จะเป็นสิ่งที่เขาเคยทำมา เขาเคยทำของเขามา วิชาการอันนี้ไง นี่สิ่งที่เป็นโลกเขาต้องมีผู้ที่มีความชำนาญ เขาถึงสามารถดัดไม้นั้นเป็นรูปสัตว์สิ่งต่างๆ สิ่งที่ต่างๆ เราเห็นว่ามันสวยงาม โลกนี้เขานิยมชมชอบ เขาว่าสิ่งนี้เป็นความสวยงาม แล้วไม้ดัดนั้นดัดมาแล้ว สิ่งที่มันจะดัดได้เขาต้องขึ้นรูปก่อน วิธีการของเขา ไม้อย่างใดจะดัดได้ แล้วจะอยู่ในดิน อยู่ในสิ่งที่ว่าให้มันมีชีวิตอยู่นี่เราจะบำรุงรักษามันอย่างไร

สิ่งที่การกระทำอย่างนี้มันต้องมีการฝึกฝนมา สิ่งที่ฝึกฝนคือวิชาการของเขา สิ่งที่วิชาการของเขา เราเห็นเราก็อยากได้ เราก็ไปซื้อเอาได้นะ เขามีขายในท้องตลาด สิ่งที่เขาดัดมา ไม้สวยขนาดไหน เรามีเงินมีทองเราก็ไปซื้อเอาของเขามา ซื้อมาประดับไว้ในบ้านในเรือนของเรา ชอบอกชอบใจ สิ่งนี้มันเป็นสมบัติของเรา นี่เรื่องภายนอก ไม้ดัดเขาดัดกันอย่างนั้นนะ

แล้วเราดัดใจของเรา ใจเรามันจะเอาอะไรดัด ใจของเราอยู่ที่ไหน

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่สั่งสอนโลก เป็นศาสดา เป็นผู้ชี้นำ จะดัดใจของสาวก-สาวกะ ผู้รื้อค้น รื้อสัตว์ขนสัตว์ วิธีการรื้อสัตว์ขนสัตว์จะรื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างไรล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบุกสมบันนะ ฝึกฝนมากับเจ้าลัทธิต่างๆ ฝึกฝนมากับโลกเขาทั้งหมดเลย แล้วปฏิเสธของเขาทั้งหมดเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เขากระทำกันมาเป็นธรรมะ เป็นธรรมเหรอ เป็นโลกียธรรม สิ่งที่โลกียธรรม ศีลธรรม จริยธรรมที่ไหนก็มี สัตว์มันยังมีเลย เวลาสัตว์มันรักลูกของมัน มันมีลูกของมัน มันต้องเลี้ยงลูกของมัน หมู่คณะของมัน มันก็เลี้ยงของมัน

ดูสิ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นสัตว์ชนิดใดก็เป็นหัวหน้าสัตว์ เป็นผู้คุมฝูง เป็นผู้ที่ทำให้ฝูงมีความร่มเย็นเป็นสุข แม้แต่สัตว์มันยังสร้างบารมีของมันได้เลย พระโพธิสัตว์เกิดเป็นสัตว์ก็สร้างบารมีอย่างนั้นเหมือนกัน สิ่งที่ว่าเป็นวิชาการ สิ่งที่ว่าเป็นธรรมะ ธรรมะ แม้แต่สัตว์มันก็มีคุณธรรม มีศีลธรรมของมันนะ สิ่งที่คุณธรรมของมัน มันดำรงชีวิตของมัน มันสร้างบารมีของมันไป มันก็เวียนตายไปในวัฏฏะเพราะมันต้องตายไป สิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นมาทุกอย่างต้องแปรสภาพทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย มันต้องแปรสภาพไปโดยธรรมชาติ โดยสัจจะเขาเป็นความจริงอย่างนั้น แต่ธรรมะมันละเอียดกว่าสัจจะความจริงอันนี้ ถ้าสัจจะความจริงอันนี้

ตอนนี้ทางวิชาการเขาพยายามพิสูจน์กันเห็นไหม ชีวิตนี้คืออะไร การเกิดและการตายทำอย่างไร ขนาดที่ว่าจะทำให้คนเกิดมามีอายุยืนยาว สิ่งนี้มันจะไปฝืนความจริงไม่ได้ ความจริงมันเกิดมาตายหมด สิ่งที่ตายหมด เพียงแต่ว่ามีหัวใจไง มีหัวใจ ใครทำดีทำชั่วมันอยู่ที่ใจดวงนี้

ถ้าใจสร้างบุญกุศลสร้างคุณงามความดีมา พระโพธิสัตว์เกิดเป็นสัตว์ก็มี เกิดเป็นมนุษย์ก็มี เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เกิดทั้งนั้นล่ะ การเกิดนี้คือการสร้างบารมีไง การเกิดและการตายนี้ สิ่งนี้มันเป็นอนิจจัง มันต้องตายทั้งหมด มันต้องแปรสภาพทั้งหมด แต่หัวใจไม่เป็น หัวใจมันมีสสารอันหนึ่ง ธาตุรู้อันนี้เป็นนามธรรมที่ใครไม่เคยเห็นมัน

ถ้าเวลาศึกษากันทางวิชาการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับทางเจ้าลัทธิต่างๆ ก็ไปศึกษากับเขา ว่าจะเป็นธรรมดัดแปลงตน จะดัดกิเลส จะทำลายกิเลส ก็ไปสร้างให้เกิดเป็นตบะธรรม ฤๅษีชีไพรเหาะเหินเดินอากาศได้ รู้วาระจิต กาฬเทวิลก็รู้วาระจิต รู้อดีตชาติ รู้อนาคต ไปนอนอยู่บนพรหมนะ

ถ้าไม่ได้สร้างบุญกุศลมามีฤทธิ์มีเดชขนาดนั้นแต่ทำลายกิเลสไม่ได้ มีฤทธิ์มีเดชก็ไปทำให้ตัวตนมันมีสูงขึ้นมา ตัวตนเรารู้ขึ้นมา มีคนเชื่อถือ มีคนเคารพบูชา มีคนมาสรรเสริญเยินยอ กิเลสมันยิ่งพองนะ มันยิ่งตัวใหญ่ มันยิ่งถือทิฐิมานะของมัน ทั้งๆ ที่ว่าทุกข์นะ

เวลาเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมา ขนาดว่าเทวดาส่งข่าวกันขึ้นไป จนกาฬเทวิลอยู่บนพรหมต้องลงมานะ ลงจากพรหมมา มาดูเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นไหมสิ่งที่เขาเยินยอ เขาเคารพบูชากันมันก็เป็นส่วนหนึ่ง เพราะเป็นผู้ที่มีฤทธิ์มีเดช นี่อวดอุตริมนุสธรรม ธรรมที่เหนือมนุษย์ แต่เหนือมนุษย์อย่างนั้น แม้แต่ฌานสมบัติก็เหนือมนุษย์ เขาก็ต้องเคารพบูชาเป็นธรรมดา เพราะเขาทำไม่ได้

แต่ถ้าเรารู้เราเองเพราะเป็นความทุกข์ในหัวใจ ขนาดมีขนาดนี้มันก็คอตกนะ มันต้องเป็น ต้องตายเหมือนกัน เกิดมาแล้วต้องตายเหมือนกัน ฤทธิ์เดชอันนี้เราก็สร้างสมมา ฝึกฝนมา ประคองใจไว้นี้มันต้องถือศีล ต้องพยายามรักษาใจของตัว มันก็อยู่ที่อาศัยสืบต่อกันไป แต่ถ้าไม่รักษามันก็เสื่อม มันเสื่อมโดยธรรมชาติของมัน สิ่งนี้มันเผาลนใจไง

ถึงอยากจะพ้นทุกข์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ รู้ๆ อยู่นะ กาฬเทวิลนี่รู้ เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมา ลงมาเห็น เป็นเพื่อนกันกับพระเจ้าสุทโธทนะ ไปขอดูเจ้าชายสิทธัตถะ พราหมณ์เพราะท่องจำมา พุทธลักษณะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนเลย ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจไง ดีใจเพราะว่าเผาลนอยู่ในหัวใจ เหาะเหินเดินฟ้าขนาดไหน ไปนอนบนพรหมขนาดไหนมันก็ทุกข์ มันก็พ้นไปไม่ได้ มันไม่มีธรรมไง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่มี เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ดีใจมาก “คนที่จะมาชี้ทาง คนที่จะมาชี้ทาง” นี่รู้ขนาดนั้นนะ แล้วตัวเองก็รู้ รู้ว่าตัวเองจะหมดอายุขัย ทั้งดีใจเพราะเกิดมาเวียนตายเวียนเกิดสร้างสมมา

ฤๅษีชีไพรใช้ชีวิตในป่าทั้งชีวิต เก็บผลไม้กินอยู่ในป่า รักษาศีลมาให้มีศีล ๘ แล้วพยายามทำสมาธิ ทำใจให้สงบ รักษาความสงบไว้ เหาะเหินเดินฟ้าได้ทั้งหมด ฤๅษีชีไพรทำได้ สมาบัติทำได้ สิ่งที่เป็นสมาบัติ แต่สิ่งนี้ทำได้ขนาดไหนมันก็เสื่อมถ้ามีอะไรกระทบมัน ถึงต้องอยู่ป่าอยู่เขา ต้องถือศีลด้วยความมั่นคงไง ถึงเวลาสิ่งที่มันเป็นสภาวะแบบนั้น รู้วาระจิตว่าตัวเองจะต้องตายนะ เสียใจมาก เสียใจเพราะต้องตายไป ตายไปโดยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้นี่ธรรมยังไม่มี

ถ้ามีธรรมนะ สิ่งที่พร้อมมีไง นี่สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือสมาธิที่ย้อนกลับเข้ามาชำระกิเลส นี้เป็นสมาธิเป็นสมาบัติที่ว่าเป็นกลางอยู่แต่ไม่มีปัญญาชี้นำ ไม่มีปัญญาชี้นำเห็นไหม ธรรมอย่างนี้ยังไม่เกิด กาฬเทวิลขนาดได้...ยังเศร้าใจเสียใจเพราะต้องตายก่อนไง

เราเป็นสาวก-สาวกะ สาวก-สาวกะได้ยินธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในพระไตรปิฎก อยู่จากใจของครูบาอาจารย์ แล้วเราจะดัดแปลงเราไหม ถ้าเราดัดแปลงเข้ามา ไม้ดัดเขาทำอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ทำอย่างไร

รื้อสัตว์ขนสัตว์นะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากวัฏฏะ ไม่ใช่รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้เวียนไปในวัฏฏะ สัตว์ในวัฏฏะ สัตตะเป็นผู้ข้องอยู่ เราจิตใจนี้ข้องแน่นอน เราติดไปหมดล่ะ ติดเห็นไหม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก สิ่งนี้เป็นอนัตตา

สิ่งต่างๆ สมบัติเป็นอนิจจัง ของเราก็ได้ เป็นสมบัติของโลกเราแสวงหามาเป็นของเราชั่วคราว มันต้องพลัดพรากจากเราแน่นอน มันต้องเสื่อมค่าไปโดยธรรมชาติของมัน หรือเราต้องตายพลัดพรากจากมันไป นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้โต้งๆ เลย แต่เราก็ว่าเราเข้าใจ

ถ้าเราเข้าใจ เราดัดแปลงตนหรือเปล่า เราใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นธรรมของเราได้หรือเปล่าล่ะ ถ้ามันไม่เป็นธรรมของเรา มันแก้กิเลสของเราไม่ได้หรอก

เราจะศึกษาเล่าเรียนมาขนาดไหน แบกจนหลังหัก รู้ไปหมด แต่รู้สิ่งต่างๆ รู้สิ่งนี้ใครเป็นคนพารู้? กิเลสพารู้นะ กิเลส ความต้องการตัณหาความทะยานอยาก ความศึกษาการเล่าเรียนมันรู้ไปหมด รู้แล้วแก้กิเลสได้ไหม? แก้กิเลสไม่ได้ เพราะศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์ต่อเมื่อเราเอามาแก้ไขเรา ถ้าเราไม่แก้ไขเรา เราไม่ดัดแปลงเรา จิตของเราจะพ้น ปลดเปลื้องกิเลสออกมาให้เป็นวรรคเป็นตอนไม่ได้ ปลดเปลื้องกิเลสเป็นวรรคเป็นตอนนะ เพราะเป็นเวไนยสัตว์ กึ่งพุทธกาลเวไนยสัตว์ต้องปลดเปลื้องขึ้นไปเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป

ถ้าในสมัยพุทธกาล ขิปปาภิญญาถึงทีเดียว กำหนดทีเดียวจนสิ้นกิเลส นั้นเป็นขิปปาภิญญาผู้ที่ตรัสรู้ง่าย ผู้ที่ทำง่าย ตรัสรู้ง่าย ผู้ที่ทำง่ายตรัสรู้ยากนี้เป็นบุคคล ๔ จำพวก บุคคล ๔ จำพวกมันเป็นจริตนิสัยของใจ ใจตัวนี้มันเวียนตายเวียนเกิด สิ่งที่สะสมมาเราได้สละทาน เวลาเราจะสละทานกัน เราเวลาทำบุญกุศลขึ้นมาเพื่อสะสมมาเป็นสมบัติของใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ปฏิเสธ มันก็ตระหนี่ถี่เหนียว มันก็ยับยั้งของมันไว้

แต่ถ้าเราสละสิ่งนี้ออกมา ใครสละได้มาก โลกเขาบอก สละคือการเสียหาย คือของเราต้องหลุดมือจากเราไป มันไปยึดมั่นไง แต่ถ้าเป็นธรรมเห็นไหม สิ่งที่เป็นธรรม สละออกไป มันสะสมมาไง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติอยากเป็นขิปปาภิญญา อยากจะประพฤติปฏิบัติรู้ง่าย อยากจะทำง่าย แล้วเราไม่ได้ทำของเรามามันจะเอามาจากไหน ถ้าเราไม่ได้ทำของเรามา

ถ้าเราทำของเรามา ๑. ถ้าทำมามันจะมีจริต มีนิสัย มันจะมีศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ ผู้ตื่น เราต้องค้นหาผู้รู้ ผู้ตื่น เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงย้อนกลับมา วางธรรมไว้เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีศีล จิตนี้เป็นสิ่งที่เป็นปกติ ถ้าเป็นสิ่งที่ปกติมันก็ไม่ตื่นไปกับโลก แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีศีลหรือมีศีลแล้วแต่ศีลของโลกียะ ศีลของโลกเป็นประเพณีกัน เป็นชาวพุทธต้องถือศีล ๕ มีศีลมีธรรม ก็ว่ามีศีลกัน สิ่งที่มีศีลก็มีที่ปาก มันไม่เป็นศีลจากในหัวใจไง

ถ้าเป็นศีลจากในหัวใจ จิตมันจะเริ่มปกติ ศีลคือความปกติของใจ ถ้าจิตมันปกติมันไม่ฟุ้งซ่านของมันไป มันไม่ไปแบกหามอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่เป็นเรื่องของโลก เวลาโลกแบกหาม เป็นวัตถุมันหนัก หนักมากอยากปลดเปลื้องภาระ แต่เวลามันคิดมันก็หนักกว่าแบกหามอีกนะ แบกหามหิน แบกหามสิ่งที่เป็นวัตถุ เราปลดเปลื้องเมื่อไหร่มันก็ปล่อยวางได้

แต่แบกหามความคิด สิ่งที่ในหัวใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันยุแหย่อยู่ตลอดเวลา เหมือนไฟ ไฟมันติดเชื้ออยู่ตลอดเวลา เชื้อมันมีไง มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคิดอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่คิดอยู่ตลอดเวลามันเป็นมโนกรรม ถ้าเป็นมโนกรรม เราจะทำปกติให้มันเป็นปกติอย่างไร ถ้าเป็นปกติมันจะตั้งมั่นขึ้นมา

ถ้าจิตตั้งมั่นขึ้นมา จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีกลอุบายนะ เป็นอุบายวิธีการ ให้หัดสละทานก่อน สละทานได้ผลคืออะไร? ได้ผลคือสวรรค์ ได้ผลสวรรค์ ถ้าจิตมันยังเวียนตายเวียนเกิด ได้ผลเป็นสวรรค์ ถึงสวรรค์ เห็นสวรรค์ โทษของสวรรค์ เพราะเราต้องไปคาอยู่ในวัฏฏะ เราจะทำอย่างไรต่อไป เนกขัมมบารมี นี่สวรรค์ก็เป็นพรหม ถ้ามีเนกขัมมะก็ไปเกิดเป็นพรหม พรหมก็ไปคาอยู่อย่างนั้นอีกล่ะเพราะอะไร เพราะอายุขัยของพรหมก็ยาวขึ้นไปอีก

แต่ถ้ามันเป็นวัฏฏะ ให้เห็นโทษของวัฏฏะ โทษวัฏฏะคือการเวียนตายเวียนเกิดของจิต จิตที่เวียนตายเวียนเกิดมันก็ต้องกลับเข้ามา กลับมาในปัจจุบันนี้ เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ ก็มาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเกิดเป็นสาวก-สาวกะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ฟังธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสำคัญมาก

ธรรมคือศาสนธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเป็นชาวโลกเขาว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาพุทธอยู่ที่วัดวาอาราม อยู่ที่โบสถ์วิหาร อยู่ที่พระสงฆ์ อยู่ที่ผู้ที่สืบทอดศาสนา แล้วเราก็เป็นชาวพุทธ เราก็อยากให้มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ วนเวียนไปแต่ข้างนอกไง

แต่ถ้าวกกลับมาศาสนธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำวัตรกัน ถ้าเราเห็นตามธรรม จิตของเราต้องพ้นจากกิเลสสิ ทำไมเราไม่เห็นตามธรรม เราขอขมานะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะว่าเราก้าวล่วงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ไหนล่ะ? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือสงฆ์ คือพระอัญญาโกณฑัญญะ

แต่หัวใจเราเป็นไหมล่ะ หัวใจเราจะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาจากใจก็ได้ สิ่งที่เป็นใจก็ได้

ถ้าเรายังกล่าวถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จากภายนอกอยู่นั้นคือจิตของเราหยาบมาก จิตของเราหาที่พึ่งไม่ได้ จิตของเราเร่ร่อน จิตของเราเป็นคนอนาถา จิตของเราเป็นคนที่ไม่มีสัญชาติ ไม่ใช่ชาวพุทธ เป็นผู้ที่เร่ร่อน

แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ไหน “พุทธะ” ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ก็ความรู้สึกนี้ไง เวลามันสุขมันทุกข์มันก็อยู่ที่เรานี่ พระสงฆ์ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่กลางหัวใจของเราเลย แต่เราไม่เคยเห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจของเราไง เราไปเห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่วัดวาอาราม ศาสนาพุทธอยู่ที่วัด พระธรรมอยู่ในพระไตรปิฎก ผู้ที่สืบต่อศาสนาคือพระสงฆ์

แต่เวลาทุกข์ เวลากิเลสมันเหยียบย่ำใจ ทำไมมันเหยียบล่ะ ทำไมมันทุกข์ล่ะ

แต่ถ้าเราย้อนกลับเข้ามาเราถึงจะเริ่มย้อนกลับ ดัดแปลงตน ธรรมมีไว้ดัดแปลงตน ถ้าธรรมมีไว้ดัดแปลงตน ศรัทธามันเกิดอย่างนี้ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ มันจะมีคุณสมบัติขึ้นมา ใจของเราที่เร่ร่อนมันก็จะเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธเพราะกำหนดพุทโธๆ เข้ามา จิตสงบเข้ามาถึงใจของเรา

พุทธะ มันมีความมหัศจรรย์ถ้าจิตมีความสงบเข้ามา

สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปรารถนาความสุข มันอยากมีความสุข มันอยากจะมีความสุขโดยอามิสของมันต่างๆ อยากมีทุกอย่าง อยากจะมีเงินล้นฟ้า อยากจะมีคนนับหน้าถือตา อยากไปหมดเลย แต่มันไม่เคยเจอความสุขจริงเลย

ขณะที่กำหนดพุทโธๆ เข้ามาหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าจิตมันปล่อยเข้ามานะ มันจะเห็นตัวของมัน เห็นจิตสงบ จิตสงบเข้ามามีสติสัมปชัญญะ สัมมาสมาธิ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออกมีสติอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่มีสติอยู่ตลอดเวลามันจะปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางต่างๆ เข้ามา ลมหายใจจะละเอียดขนาดไหนเราจะปล่อยลมไม่ได้ เราต้องเกาะไว้ตลอดไปเพราะว่าจิตนี้เป็นนามธรรม ต้องเกาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกาะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมฐาน ๔๐ ห้อง อานาปานสติ พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ สิ่งที่มีสติ สติเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้น นี่เราเริ่มฝึกฝน

เราใช้ธรรมโอสถ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นโอสถรักษาใจของเรา ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโอสถรักษาใจของเรา เราเริ่มใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเริ่มเห็นยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะมีความสงบเข้ามาไง ถ้าจิตมันเริ่มสงบเข้ามา เพราะมันได้ดื่มกินธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ นี่สมาธิธรรม

สิ่งที่เป็นสมาธิธรรม จิตสงบเข้ามาเกาะลมเข้ามา เกาะอานาปานสติ เกาะไว้ตลอด มันจะละเอียดขนาดไหนก็เรื่องของเขา ไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องมีสติควบคุม

อานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกตลอดไป

สิ่งที่มันจะละเอียดขนาดไหน สติเราจะประคองสิ่งนี้เข้ามา มันจะละเอียดเข้ามาๆ จนใจมันปล่อยวาง ลมเริ่มหายไป จนลมเริ่มขาด ความรู้สึกเริ่มไม่มี ขนาดไหนเราก็ต้องมีสติตลอดไปจนถึงที่สุด มันปล่อยวางจนหมด จนสักแต่ว่ารู้ขนาดไหนมันก็มีสติคุมไปตลอด นี่สัมมาสมาธิเป็นแบบนี้ไง รวมขนาดไหนปล่อยวางหมดเลย โล่ง ว่างไปหมด นี่สมาธิธรรม นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเรามีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาในหัวใจของเรา นี่สมาธิธรรมนะ

ในสมัยพุทธกาล พวกฤๅษีชีไพร พวกที่เขาอยากประพฤติปฏิบัติ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด จะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง สิ่งต่างๆ มันสมดุลไปหมด สิ่งที่สมดุล สิ่งที่เป็นสังคมในสมัยนั้นจะมีพวกฤๅษีชีไพร จะมีเจ้าลัทธิต่างๆ เขาพยายามประพฤติปฏิบัติกัน คือเขาเกิดมาเพื่อจะพ้นจากทุกข์

แต่ในสมัยปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ โลกเจริญมาก มีการพัฒนาการ เกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ ถ้าเกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ เกิดมาเพื่อเป็นคน เกิดมาเพื่อเสวยสุข เกิดเป็นชาวพุทธก็เสวยสุขในชาติหนึ่ง นี่เราถึงไม่มีสมาธิ เพราะเราคิดแต่การดำรงชีวิต เราคิดแต่เรื่องของโลกไง

แต่สมัยพุทธกาลนะ คนเกิดมาสมัยพุทธกาลนั้นสมดุล สิ่งต่างๆ สมดุล เขาเกิดมาเขาพยายามฝึกฝนไง เขามีสมาธิ ดูสิ ดูอย่างสัญชัย ดูอย่างเจ้าลัทธิต่างๆ เขาฝึกหมด อาฬารดาบสฝึก เป็นสมาบัติ เจ้าชายสิทธัตถะไปฝึกกับเขา เขามีลูกศิษย์ลูกหา นี่คนเขาฝึกเขามีพื้นฐานอยู่นะ ถ้าคนมีสมาธิอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาอยากจะสอนอาฬารดาบส เพราะเคยไปศึกษามากับเขา ก็ได้ตายไปแล้ว สิ่งที่ตายไปแล้วไม่มีโอกาส จะไปสอนใคร? ก็ไปสอนปัญจวัคคีย์เพราะปัญจวัคคีย์ประพฤติปฏิบัติมา ๖ ปี ประพฤติปฏิบัติคืออุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ๖ ปี สิ่งนี้มันมีการฝึกฝนมา จิตสงบอยู่ สิ่งนี้มีอยู่

แต่เราไม่เคย เราปัจจุบันนี้เราไม่มีสมาธิอย่างนี้ เราไม่มีสมาธิเราถึงต้องใช้คำบริกรรมหรือใช้อานาปานสติกำหนดให้จิตมันสงบเข้ามา สิ่งที่สงบเข้ามานี่พื้นฐาน ถ้าพื้นฐานของใจมันมีสภาวะแบบนี้ เราใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเราเชื่อมั่นไง

เราเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนศีล สมาธิ ปัญญา ทานเราก็ได้ทำของเราแล้วนะ เรามีศรัทธาและมีความเชื่อ เราจะต้องการให้ใจของเราพ้นออกไปจากทุกข์ สิ่งที่ร่างกายมันเป็นเนื้อ สิ่งที่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันไม่ทุกข์หรอก แต่เราก็ไปเอามันมาเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วไม่สมความตั้งใจ สิ่งนี้ต้องบริหาร ต้องดัดแปลงให้มันสมดุลของเรา นี่เราไปติดแต่เรื่องภายนอกไง

เวลาเขาดัดตนนะ ฤๅษีชีไพรเขาดัดตน เขาเล่นโยคะ นี่ดัดตน เขาดัดตนเขาก็ดัดข้างนอก เวลาทำโยคะกัน ดัดแปลงตน ดัดที่ร่างกาย ดัดที่ร่างกายแล้วจิตผ่องใส โฆษณาชวนเชื่อกันไปนะ ชาวพุทธก็ไปตื่นกับเขานะ สิ่งที่ไปตื่นกับเขา ทำฤๅษีดัดตน...สิ่งที่เป็นอย่างนั้นมันเป็นเรื่องของโลกเขา เรามีหมอ เรามียา สิ่งที่เจ็บไข้ได้ป่วยเราก็รักษาเป็นกาลไป

แต่ถ้าเราทำสัมมาสมาธิ เราดัดแปลงจิต ถ้าเราดัดแปลงจิตของเรา นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดความตั้งมั่นของใจเข้ามา สิ่งที่ใจเข้ามา จิตมันปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามาสิ่งนี้เป็นรสของธรรม รสของสมาธิธรรมจะเกิดในหัวใจของเรานะ

เวลาจิตมันทุกข์ มันทุกข์มาก แล้วเราก็ไม่มีต้นไม่มีปลายเพราะไปหานะ ในโลกเขาเวลาเขาทุกข์มาก ทุกข์จนไปหาจิตแพทย์นะ ให้จิตแพทย์เป็นที่ปรึกษาว่าทุกข์มากจนย้ำคิดย้ำทำ จนมีปัญหาไปในหัวใจ หัวใจขาดสติ หัวใจมีโรคมีภัยของมันให้หาจิตแพทย์ไว้รักษา นี่เวลาทุกข์ ทุกข์ขนาดนั้น

แต่ถ้าเราทำธรรมโอสถเข้ามา เวลามันปล่อยวาง ถ้ามันปล่อยวางนะ ปล่อยวางสิ่งนี้เข้ามา สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นภาระมันปล่อยออกไป มันดัดแปลงจิตไง ถ้าดัดแปลงจิต มันดัดตน ดัดจากภายใน

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาแห่งปัญญามันละเอียดอ่อน ถึงว่าปัญญา ปัญญาของใคร? ปัญญาในสุตมยปัญญาก็ปัญญาของการศึกษา ปัญญาในจินตนาการมันก็จินตนาการของมัน จินตนาการขนาดไหน ถ้ากิเลสมันมีอำนาจกว่ากิเลสมันจะจินตนาการของมันยิ่งลึกลับใหญ่นะ มันจะพาออกไปเลยว่ารู้ธรรมอย่างนั้น สภาวธรรม ความสงบ มันปล่อยวางเข้ามาอย่างไร

เวลาคนที่หัวใจมีปัญหา หัวใจของเขามีปัญหาคือเขาไม่สมประกอบในเรื่องของจิต เวลาประพฤติปฏิบัติเขาก็เป็นได้ เวลาเขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าจิตเขาสงบเข้ามา เขามีพื้นฐานเข้ามา เขาจะไปเห็นสิ่งต่างๆ จนทำให้เขาป่วยทางจิตมากเข้าไปเหมือนกับภาวนาแล้วหลุดออกไป มีปัญหาเข้ามาอีกนะ

เราถึงต้องทำจิตของเราให้ปกติก่อน ถ้าจิตของเราปกติ แล้วมีสติสัมปชัญญะควบคุมสิ่งนี้เข้ามา สิ่งนี้เข้ามานะ สิ่งนี้ให้มันสงบเข้ามา จะเห็นสิ่งต่างๆ ขนาดไหนจะเป็นจินตมยปัญญา มันคาดการณ์อย่างไรแล้วแต่ มันตรวจสอบได้ไง มันตรวจสอบได้จากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พระไตรปิฎกมีอยู่แล้ว มรรค ๔ ผล ๔

สิ่งที่เป็นมรรค ๔ ผล ๔ เราได้ชำระสิ่งใดออกไปจากใจบ้าง หัวใจของเรามันมีความรับรู้สิ่งใด? มันไม่มีสิ่งใดเลย แค่ทำความสงบของใจเข้ามา พอจิตมันสงบเข้ามาแล้วมันใช้จินตนาการออกไป มันจะเป็นสภาวธรรมอะไรขึ้นมาล่ะ เราจะมาดัดแปลงมัน มันกลับใช้พิษภัยของกิเลสตัณหาความทะยานอยากให้เราเตลิดเปิดเปิง

คำว่า “เตลิดเปิดเปิง” คือ มันสร้างภาพ มันจะมีการจินตนาการในตัวของมัน แล้วมันก็ให้ค่าของมันเป็นชั้นเป็นตอน ยกใจของมันขึ้นไปจนเหมือนว่าวเชือกขาดไง ว่าวเชือกขาดมันหลุดลอยออกไป แล้วแต่ เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

แต่ถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะมีเชือกไง เชือกนี้มันจะควบคุมว่าวนั้นได้ ว่าวจะขึ้นสูงขนาดไหน จะลมวนขนาดไหน มันจะเป็นขนาดไหน เรามีเชือก เราบังคับได้หมดล่ะ ถ้ามีสติ สิ่งที่มีสติมันควบคุมจิตได้หมด สิ่งที่ควบคุมจิต มันถึงเป็นสัมมาไง ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันจะมีสติ สิ่งที่สติเขาควบคุมใจของเราเข้ามา สิ่งที่ควบคุมใจของเราเข้ามา สิ่งที่เป็นจินตนาการ เป็นจินตมยปัญญา ถ้ามันสงบเข้ามาแล้วมันยกขึ้นวิปัสสนาเป็นนะ มันจะเกิดภาวนามยปัญญา

สิ่งที่เป็นภาวนามยปัญญานี้ ปัญญาที่เกิดขึ้นอย่างนี้มันเป็นปัญญาที่มหัศจรรย์มาก มันเกิดขึ้นจากการภาวนาเท่านั้น มันเกิดขึ้นจากที่เราเกิดมาแล้วเราใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราฝึกฝนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเกิดจากหัวใจของเรา ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากใจของเรา เราเห็นความเป็นไปของปัญญา

ปัญญาจะเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะมันสมดุล จิตเป็นสัมมาสมาธิแล้วมีอำนาจวาสนา เห็นไหม มันน้อมไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าน้อมไปที่กาย นี่กายของเรา ร่างกายของเรา เราเกิดมาด้วยอำนาจวาสนานะ อำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีศีล ๕ ถ้าให้ทานเกิดมาจะมีทรัพย์สมบัติ ผู้มีศีลเกิดมาจะรูปสวย รูปสวยสมดุล มีรูปสวยนี่เป็นสมบัติ เป็นสมบัติของเรา

ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมาเกิดมาจากอำนาจของกรรมไง จะขี้ริ้วขี้เหร่เห็นไหม ในสมัยพุทธกาล พระอรหันต์ค่อมก็มีนะ รูปงามเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนพระนันทะเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สร้างบุญกุศลมาไง สิ่งนี้เป็นเรื่องของวิบากกรรม ในเมื่อกรรมสร้างมาอย่างนี้มันก็เป็นธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเราไปติดมัน เราไม่พอใจร่างกายของเรา เราไม่พอใจสิ่งใดๆ ในสมัยปัจจุบันนี้เขาแก้ไขของเขาได้นะ แต่แก้ไขก็ได้ชั่วคราว สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลกเขา

แต่ถ้าเราเห็นกายจากภายในล่ะ เราเห็นกายจากภายในนี่เป็นบุญกุศลอย่างมหาศาลเลย มหาศาลเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นการห่อหุ้มหัวใจไว้ทั้งนั้น เรามีร่างกายเกิดแผลเกิดการกระทบต่างๆ เราเป็นแผล เป็นสิ่งที่อุบัติเหตุขึ้นมานี่เจ็บปวด เจ็บปวดเพราะอะไร เพราะมันมีหัวใจไง แต่บางทีเราเดินผ่านไปเกิดบาดแผลขึ้นมา โดนเกี่ยวสิ่งต่างๆ เราไม่เข้าใจ เราไม่เห็น เราก็ไม่เจ็บนะ นี่เจ็บปวดเพราะจิตไปรับรู้ ถ้าเราไม่พอใจร่างกายก็หัวใจนี่ไม่พอใจ ถ้าเราไปหลงร่างกายของเราว่าร่างกายของเรานี้มันเป็นสิ่งที่ว่ามีความพอใจของเรายึดมั่นมัน สิ่งนี้เป็นร่างกายของเรานะ

แต่ถ้าเราเห็นกายโดยจากภายใน มันจะสะเทือนหัวใจมาก สิ่งที่สะเทือนหัวใจเพราะอะไร เพราะเราติดจากตรงนี้ไง ถ้าหัวใจมันไปติดกับร่างกายเอง หัวใจมันสักกายทิฏฐิความเห็นผิด สิ่งที่ความเห็นผิด ร่างกายนี้เป็นเราหรือ? สิ่งนี้ไม่เป็นเรานะ

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนเข้าใจไง สิ่งนี้ไม่เป็นเรา สิ่งใดก็ไม่เป็นเรา นั้นมันเป็นจินตนาการ มันไม่เป็นภาวนามยปัญญา ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมา ปัญญาชำระกิเลส ถ้าปัญญาชำระกิเลสจากภายใน มันเห็นสภาวะตามความเป็นจริงของมัน ถ้าจิตสงบเข้ามาแล้วน้อมไปที่กาย สิ่งที่น้อมไปที่กายมันจะตื่นเต้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ นี่ธรรมมีไว้ดัดแปลงตน ถ้ามีไว้ดัดแปลงตน ดัดตนดัดอย่างนี้ไง ฤๅษีชีไพร โยคะที่เขาดัดร่างกาย เขาดัดเพื่อเป็นความเห็นของเขา คือปัญญาหางอึ่งของเขาไง เขาดัดแปลงได้แต่ร่างกาย ดัดแล้วเลือดลมดี ดัดแล้วโรคภัยไข้เจ็บจะไม่มี ความดัดแปลงร่างกายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของฤๅษีชีไพร สิ่งที่เป็นฤๅษีชีไพรเขาจะไม่มีปัญญา ไม่มีภาวนามยปัญญา คือไม่มีการทำปัญญาการชำระกิเลส การถอดถอนกิเลสที่เห็นความเห็นผิดของร่างกาย

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกลับกว่านั้นนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นธรรม ธรรมที่เกิดขึ้นมาจากภาวนามยปัญญา สิ่งที่เกิดขึ้นจากภาวนามยปัญญาต้องมีความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าจิตสงบขึ้นมามันเห็นกายโดยเห็นเป็นภาพขึ้นมาอย่างนั้น นี่เจโตวิมุตติ

แต่ถ้าสงบเข้ามา ถ้ามันไม่เห็นกาย น้อมไปที่กายมันเป็นปัญญาวิมุตติ มันเห็นกายโดยที่ไม่เห็นภาพ มันใช้ปัญญาใคร่ครวญมันก็ทำได้ ถ้าใคร่ครวญ มันเห็นแล้วมันสลดสังเวช มันปล่อยวางเข้ามา การปล่อยวางเข้ามา จิตมันจะมีความปล่อยวาง สิ่งที่ไปกระทบกระเทือนเห็นร่างกายนั้นมันก็ทำให้กิเลสนี้หวั่นไหว กิเลสนี้หวั่นไหวเลย

การที่ว่ากิเลสๆ เราคำว่า “กิเลส” ทุกคนต้องการเห็นกิเลส แต่ไม่มีใครเห็นกิเลสเลย ให้กิเลสมันหลอกใช้นะ เกิดมาก็หาศึกษาเล่าเรียนก็เป็นวิชาการเพื่อประกอบอาชีพ จะมีวิชาชีพไง เกิดมาแล้วต้องมีความรู้ ต้องมีหน้าที่การงานก็ทำกันไป สิ่งนี้ทำกันไปมันก็ลืมตาข้างหนึ่งเพราะมันเป็นเรื่องของโลก เพราะเกิดมามีปากมีท้อง ต้องมีอาชีพ ต้องมีวิชาการ ต้องมีวิชาชีพ ต้องไว้ดำรงชีวิตไง อันนี้ก็เป็นเรื่องของโลกแล้วมันทุกข์ไหมล่ะ?

มันทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะว่าสิ่งนี้มันเกิดมาเป็นสถานะของมนุษย์ ทุกคนต้องมีหน้าที่อย่างนี้ทุกคน แล้วทุกคนก็ต้องตายหมดไง

แต่ถ้าเราเปิดใจของเราได้นะ หน้าที่ของโลกมันก็เป็นหน้าที่อันหนึ่ง หน้าที่ของการประพฤติปฏิบัติ หน้าที่ของการรื้อสัตว์ขนสัตว์ คือรื้อสัตว์เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่สัตตะผู้ข้องของเราถ้ามันไม่เปิดใจ มันไม่ยอมรื้อตัวมันเอง ใครจะไปรื้อมัน มันรื้อไม่ได้ เหมือนภาชนะที่คว่ำไว้ มันไม่มีสิ่งใดจะเข้าไปได้ หัวใจที่ไม่ศรัทธา ไม่เชื่อ มันจะไม่มีสิ่งนี้เข้าไปในหัวใจเลย ถ้ามีศรัทธาและความเชื่อ แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติ พยายามอยู่แล้วมันยังไม่ได้ผล สิ่งนี้มันเป็นการกระทำ อำนาจวาสนานี้เป็นส่วนหนึ่งนะ

อำนาจวาสนาอยู่ที่ไหน? อยู่ที่หัวใจ หัวใจมันสะสมมา แล้วอำนาจวาสนามันมีศรัทธา มันมีความเชื่อ แล้วมันประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันจะไม่ได้ขึ้นมาขนาดไหน เราสัจจะความจริงสิ ถ้าเราพยายามต้มน้ำ เราพยายามรักษาไฟ สิ่งที่รักษาฟืนไฟ จะต้มน้ำ น้ำไม่เดือดมันเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเรารักษาฟืนของเรา ถ้าฟืนมันน้อย ฟืนมันหมดก่อน เราก็รักษาสะสมขึ้นมา ถ้าสติมันปล่อย มันขาดไง ถ้าฟืนไม่พอ เราก็หาฟืนของเรา มันอยู่ที่ความเพียร

เวลาต้มน้ำมันต้องใช้ฟืนใช้ไฟเห็นไหม แต่เวลาทำตบะธรรมเพื่อความสงบของใจเข้ามา มันอยู่ที่ความเพียรของเรา มันอยู่ที่สติของเรา มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ทำแล้วไม่ได้ผล มันต้องได้ผลแน่นอน เพียงแต่เราไม่จริง เราไม่จริงแล้วเราทำของเราไม่ได้ แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันสุดยอดของความจริงนะ

สัจจะ อริยสัจจะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นอริยสัจ สิ่งที่เป็นอริยสัจมันเป็นความจริงเหนือความจริงที่มีอยู่ นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอยู่นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปตรัสรู้ธรรมเพราะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงอย่างนี้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมาจนพ้น เสวยวิมุตติสุข แล้ววางธรรมไว้อย่างนี้ แล้วมันจะเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้อย่างไร

มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นจริง มันต้องประพฤติปฏิบัติได้ มันอยู่ที่ความเพียรของเราไง ถ้าเรามีความเพียร ความเพียรเห็นไหม ถ้าเป็นความเพียร เพียรชอบหรือเพียรมิจฉาล่ะ ถ้าเพียรมิจฉามันไม่เป็นสัจจะ เราก็ใช้อุบาย อุบายในการกลั่นกรอง กลั่นกรองให้ความเพียรของเราเข้ามา เห็นไหม เราจะมีความโง่กว่าเด็กหรือ

ในสมัยพุทธกาลนะ สามเณร ๗ ขวบ ลูกศิษย์ของพระสารีบุตรออกไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตรเห็นเขาชักน้ำเข้านา “น้ำนะ มันเป็นน้ำ มันเป็นสิ่งที่เป็นของเหลว ทำไมเขายังชักเข้านาได้เลย แล้วหัวใจของเรามันเป็นนามธรรมก็จริงอยู่ แต่มันอยู่ในหัวใจของเรา”

สามเณรยื่นบาตรให้กับพระสารีบุตร

เวลาธรรม ธรรมที่กำลังจะได้ผล ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีไว้ดัดแปลงใจ สามเณรกลับวัดเลย ให้พระสารีบุตรไปบิณฑบาต นี่กลับมา

น้ำ ทำไมสิ่งที่เป็นน้ำ ทำไมเขายังใช้ประโยชน์มันได้ แล้วใจของเรา สติมันต้องควบคุมเข้ามาไง สิ่งที่เป็นน้ำอยู่โดยธรรมชาติของมัน มันก็ต้องมีภาชนะใส่ของมัน อยู่ในคลองมันก็มีฝั่ง อยู่ในแม่น้ำมันก็มีฝั่งบังคับน้ำให้ไหลไปตามแม่น้ำนั้น ลงไปทะเลก็มีฝั่งมีฝาของน้ำของทะเลนั้น แล้วหัวใจล่ะ หัวใจเอาอะไรเป็นฝั่งมันล่ะ

เอาสติควบคุมมัน เอาสติควบคุมมัน สิ่งที่ควบคุมมันย้อนกลับมา ย้อนกลับมาทำลายกิเลส

สามเณร ๗ ขวบ ออกไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตร เห็นนายช่างเขาดัดแปลงศร คันศร ดัดแปลงคันศรนะ เขาดัดแปลงคันศร ศรเป็นไม้ เขายังทำให้มันตรงได้ แล้วหัวใจของเราล่ะ เขาดัดแปลงคันศรเขาดัดอย่างไร? เขาใช้ไฟ เขาลนมัน ลนให้มันมีความร้อน ให้ไม้มันรู้สึกตัว แล้วก็ดัด ดัดคือว่าเข้าไปเอาอะไรบังคับมันให้มันตรง

แล้วหัวใจเราล่ะ หัวใจเราจะดัดมันไหม เราจะทำไหม ทำไมสามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ได้ล่ะ

เพราะเขามีปัญญา เขามีปัญญาขนาดไหน ขนาดที่ว่าเขาควบคุมใจของเขา เขามีสติ สติควบคุมใจเข้ามา จิตมันสงบเข้ามา พอไปกระทบเห็นชาวนาเขาทดน้ำ เห็นนายช่างเขาดัดคันศร มันสะเทือนกลับมาที่หัวใจ มันสะเทือนกลับมาที่หัวใจ มันเปรียบเทียบใช้ปัญญาไง สิ่งที่ใช้ปัญญาเห็นไหม ปัญญาเกิดจากภายใน ธรรมมีอยู่ ธรรมมีอยู่เพราะเรามีสติอย่างนี้

สามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบ เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร พระสารีบุตรนี้มีปัญญามาก มีปัญญามาก กำลังเทศนาว่าการสอนลูกศิษย์ เป็นคติธรรมตลอด เพราะสามเณรถือบาตร อุ้มบาตรของพระสารีบุตรออกบิณฑบาต เหมือนครูบาอาจารย์เรา เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์เรา ครูบาอาจารย์ของเราจะให้เกร็ดมาตลอด สิ่งที่เป็นเกร็ด เป็นเกร็ดของสติ ของปัญญา

สิ่งที่เกร็ดของสติของปัญญาเราก็สะสม เราก็ใช้ปัญญาเราใคร่ครวญ สิ่งที่ใคร่ครวญจิตมันก็ควรแก่การงานคือมันอ่อนมา มันไม่แข็ง ไม่กระด้างเหมือนกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของหัวใจเรา ถ้าเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากของหัวใจเรา กิเลสตัวนี้มันมีอำนาจมาก มันมีอำนาจของมัน มันว่ามันฉลาดเลอเลิศ มันฉลาดเหนือโลก สิ่งที่มันเหนือโลกมันก็ถือตัวตน มันก็กระด้าง สิ่งที่เป็นกระด้างมันก็ถือมานะทิฐิเกิดจากใจ สิ่งที่มานะทิฐิเกิดจากใจมันก็ขวางธรรม

สิ่งที่เป็นธรรมเห็นไหม “ภาวนามยปัญญา” มันอ่อนสมดุล มันมัชฌิมาปฏิปทา มันควรแก่การงานจะย้อนกลับไง นี่อยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะมีธรรม เกร็ดของธรรมให้เราได้คติ ให้เราได้พลิกพัฒนาใจของเราตลอด

พระสารีบุตรเป็นผู้เลิศในทางปัญญาแล้วสั่งสอนสามเณรน้อยมาตลอด สิ่งที่เณรน้อยอุปัฏฐากพระสารีบุตรอยู่มันจะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสะสมเข้ามาในหัวใจตลอด สิ่งที่หัวใจตลอด ใคร่ครวญมา นี่สามเณร ๗ ขวบยังมีเชาวน์มีปัญญา มีการใคร่ครวญแล้วทวนกระแสกลับเข้ามาในหัวใจ นี่สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ สิ่งที่เป็นพระอรหันต์เพราะใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระสารีบุตร เวลาอยู่เขาคิชฌกูฏ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการกับหลานพระสารีบุตร “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เลย เธอต้องไม่พอใจอารมณ์สิ่งที่ไม่พอใจเขาด้วย เพราะอารมณ์สิ่งที่ความไม่พอใจนี้มันก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง”

พระสารีบุตรมีปัญญาจับสิ่งนี้

ไม่พอใจ สิ่งนี้ไม่พอใจ อะไรก็ไม่พอใจ แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันไปพอใจอะไร มันไม่พอใจเขามันก็มีอำนาจ มันก็มีความยึดมั่นถือมั่น มันก็อหังการ มันก็จะทำลายคนอื่น...ทำลายด้วยความคิดนะ ไม่พอใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่พอใจที่เอาพระสารีบุตรมาบวช ไม่พอใจสิ่งต่างๆ มันทำลายอยู่แล้วแต่ทำลายโดยความคิดมันยังไม่ออกมาเป็นการกระทำไง

แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับนะ ถ้าสิ่งที่เธอคิดนั้น เธอควรไม่พอใจมัน ถ้าไม่พอใจความคิด เราก็จะไม่คิดเบียดเบียนคนอื่น เราก็จะไม่คิดทำลายใคร ถ้าเราไม่คิดจะทำลายใครจิตมันก็ควรเข้ามา นั้นเป็นการสอนหลานพระสารีบุตรนะ

แต่พระสารีบุตรถวายการพัดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ สิ่งนี้มันสะเทือนกลับเข้ามาเพราะพระสารีบุตรปล่อยวางกิเลสเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอน แต่ยังติดอยู่ในผู้รู้ ติดอยู่ในความว่างไง อารมณ์ความรู้สึกถ้าไม่พอใจมันต้องปล่อยวาง มันต้องชำระ มันต้องฆ่ามัน ฆ่าความรู้สึกอันนี้ ถ้าความรู้สึกมีมันกระด้าง มันขวาง แต่ถ้าทำลายอันนี้หมด ความว่างไม่มีเพราะไปรู้ว่าเขาว่าง พอปล่อยอันนี้เข้ามา

พระสารีบุตรก็ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรก็เป็นเลิศทางปัญญา เป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธรรมนี้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงใช้ประโยชน์ เราถึงดัดเราไว้ มีไว้ทำไม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีไว้แบกหามหรือ มีไว้เพื่อจะส่งเสริมกิเลสหรือว่าเราเรียนเราจำรู้มา แล้วเราใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการออกไป แต่มันเข้ามาดัดกิเลสของตัวไหม ถ้ามันดัดกิเลสของตัวมันจะย้อนกลับเข้ามา นี่มันดัดเราจากภายใน

ถ้าดัดเราเข้ามา ขณะที่ว่าพระสารีบุตรแสดงธรรมกับสามเณรน้อย นี่ก็คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามเณรน้อยเวลาประพฤติปฏิบัติเข้ามาเห็นไหม ทดน้ำเข้านา หรือดัดคันศร นี่วิธีการ ปัญญามันเกิด มันเทียบเคียงเข้าไประหว่างกิเลส กิเลสกับจิตมันอยู่ในหัวใจ สิ่งที่หัวใจมันเกาะเกี่ยวอย่างนี้ มันผูกพันกันมา

นี่ออกไปยึดมั่นถือมั่น สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดสิ่งต่างๆ เห็นผิดไปหมดเลย สิ่งที่เห็นผิดเห็นผิดอย่างไร? เห็นผิดจากทำนองคลองธรรมไง สิ่งที่ว่าคนเราเกิดมาต้องตาย ร่างกายนี้มันก็ของชั่วคราว สิ่งต่างๆ ของชั่วคราว สิ่งนี้มันเกิดจากอารมณ์เปลือกๆ สิ่งที่เป็นโลกียปัญญา ปัญญาสิ่งที่ปัญญาภายนอกแต่หัวใจมันละเอียดอ่อนกว่านั้น สิ่งที่ละเอียดอ่อนกว่านั้นมันต้องเกิดจากภายใน เกิดจากความเห็นที่ออกมาจากภายในของมัน เกิดจากสัมมาสมาธิ เกิดจากปัญญาจากการใคร่ครวญจากภายในแล้วมันจะฆ่ากิเลสจากจิตใต้สำนึกที่ภายในอย่างนั้น นี่ความเห็นผิดจากร่างกาย ความเห็นผิดแล้วยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น ความเห็นอย่างนี้มันจะถอนกลับเข้ามา นี่ธรรมดัดแปลงตนจากภายใน

เราจะมีปัญญาเสมอกับสามเณรน้อย สามเณรน้อยเป็นพระอรหันต์นะ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันปล่อยวางเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอน ถ้าปล่อยวางมันไม่สมุจเฉท มันไม่ขาดไป เราต้องหมั่นคราดหมั่นไถ อย่าให้กิเลสหลอก ถ้ากิเลสหลอกนะ ถ้ากิเลสมันเสริมเข้ามาที่ว่า เวลาจิตมันสงบเข้ามา มันเห็นสภาวะของมัน นี่จินตมยปัญญา ใคร่ครวญไป สภาวธรรม ว่าง สิ่งต่างๆ นิมิตเกิดขึ้นมา เอานิมิตนี่นะมาเป็นธรรม เอานิมิตความเห็นต่างๆ ว่าเราเห็นภาพต่างๆ เห็นสภาวะว่าง เห็นต่างๆ อันนี้เป็นธรรม

สิ่งนี้เป็นธรรมแต่ไม่ใช่เป็นอริยสัจ เพราะมันไม่เป็นมรรค

สิ่งที่เป็นมรรคเห็นไหม “ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ” ละด้วยอะไร? ละด้วยมรรคญาณ มรรคญาณเกิดขึ้นเกิดอะไร? เกิดนิโรธะ นิโรธคือการดับ ดับทั้งหมด สิ่งที่ใคร่ครวญ

นิมิตไม่เป็นหรอก นิมิตไม่เป็นอริยสัจ นิมิตเป็นสภาวธรรมที่จิตมันสงบเข้ามาแล้วไปเห็นนิมิตเท่านั้น เห็นความเป็นไป เห็นสภาวะต่างๆ แล้วแต่จริตนิสัย ผู้ที่ไม่มีนิมิตก็ไม่เป็นปัญหา

สิ่งที่เป็นปัญหา...เพราะอริยสัจ...กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ให้เราก้าวเดินเข้ามาชำระกิเลส แล้วเวลาวิปัสสนาขึ้นมา ทำไมจะต้องเป็นนิมิตอย่างเดียวล่ะ สิ่งที่ไม่เป็นนิมิตมันก็เป็นปัญญาวิมุตติ ปัญญาวิมุตติคือการใช้ปัญญาใคร่ครวญเข้ามา ใคร่ครวญจากสิ่งที่เกาะเกี่ยว อะไรมันไปเกาะเกี่ยว เกาะเกี่ยวเพราะเหตุใด? เกาะเกี่ยวเพราะความหลง หลงเพราะอะไร หลงเพราะมันไม่มีความรู้ ไม่มีความรู้จริง ถ้าไม่มีความรู้จริงเราก็ใช้ปัญญาสอนมันสิ ปัญญาสอนใจนะ

เวลาใจมันสงบเข้ามาแล้วมันน้อม เราน้อมไปเรื่องของกายโดยปัญญา คือเอาความรู้สึกนี้ใคร่ครวญไง นี่สิ่งที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ฤๅษีเขาดัดตน ดัดตนเขาก็ดัดสภาวะของเขา ดัดตนของเขาสิ่งนั้นเป็นประเสริฐนะ ดัดแล้ว โอ้โฮ! สุดยอด ฤๅษีดัดท่าฤๅษีดัดตน ท่าอย่างไรแล้วสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเขา นั่นเป็นความเห็นของเขานะ

แต่ถ้าเราพิจารณากายของเรา สิ่งนี้ร่างกายนี้มันเป็นของชั่วคราว สิ่งที่ชั่วคราว เห็นไหม เกิดมาตั้งแต่เด็ก ตายตั้งแต่เด็กก็เกิดมาเป็นผู้ใหญ่ ตายจากผู้ใหญ่ก็เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ แล้วผู้เฒ่าผู้แก่เวลาตายจริงๆ เขาเอาร่างกายไปเผาทิ้ง เพราะเขาสกปรกโสโครก เขากลัวคนตาย ตายแล้วไม่มีใครต้องการ ไว้ในบ้านเขาก็ไม่เอานะ ไว้ ๗ วัน ๘ วัน เพื่อถึงเวลาเขาจะเอาไปเผาทิ้ง สิ่งที่เผาทิ้งนะ แต่เวลาเกิดอยู่กับเรา เราทำไมไปสงวนรักษาขนาดนี้ ถ้าเราตายโดยปัจจุบันนี้เขาจะเอาเราเก็บไว้ในบ้านไหม เขาจะเอาเราเก็บไว้เป็นสมบัติถาวรของเขาไหม? ไม่มีใครต้องการหรอก

สิ่งนี้เราเกิดมามีบุญกุศล เกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเข้ามาให้เห็นภาวะจากภายใน ภาวนามยปัญญาสอนให้เห็นกายจริง ถ้าเห็นกายจริงมันจะสลด มันจะสังเวชนะ กายพิจารณากายเห็นสภาวะกาย เห็นเวลามันแปรสภาพของมัน มันเวิ้งว้าง มันปล่อยขนาดไหน ตทังคปหานมันปล่อยชั่วคราว ขนาดปล่อยชั่วคราวมันยังมีความสุขเลย แล้วเราไม่สุกเอาเผากิน อย่าให้กิเลสมันหลอก ถ้ากิเลสมันหลอกนะ เวลาปล่อยวางหนสองหนมันก็มีความพอใจนะ แล้วว่าสิ่งนี้มันเป็นผลของมันแล้วนะ เวลามันเสื่อมถอยออกมามันจะทุกข์ยากมากเลย ทุกข์ยากเพราะอะไร เพราะเหมือนกับเศรษฐีแล้วหมดตัวนะ

เวลาภาวนาขึ้นมา ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรค ตั้งแต่ปุถุชน ทำความสงบของใจเข้ามาเป็นกัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนคือผู้ที่ควบคุมหัวใจได้ง่าย ถ้าเป็นปุถุชน สิ่งที่มันเกาะเกี่ยวกับใจ อารมณ์กระทบนี่มันไปหมดเลย มันเหมือนกับปุถุชนคนธรรมดา สิ่งกระทบกับใจด้วยมารยาทสังคมเขาก็เหนี่ยวรั้งไว้ มารยาทสังคมนะ สิ่งที่เราไม่ควรแสดงกิริยาที่ไม่สมควรออกไป เวลากระทบเขาก็มีความรู้สึก เขาก็มีความขุ่นใจของเขาโดยธรรมชาติ นี่ปุถุชน

กัลยาณปุถุชนมันเห็น รูป รส กลิ่น เสียง สิ่งที่กระทบมา รูป รส กลิ่น เสียง สิ่งที่เขาว่ามา สิ่งที่เขาชมเชยมา โลกธรรม ๘ มันเป็นเรื่องบ่วงของมาร สิ่งนี้มันมีโดยธรรมชาติ

ดูสิ เราเปิดเครื่องเสียง เปิดวิทยุ มันดังอยู่ทั้งวัน ทำไมมันไม่เจ็บปวด มันไม่รู้สึกโศกเศร้าไปกับเสียงนั้นล่ะ เสียงนี้มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก รูป รส กลิ่น เสียงนี้มันเป็นธรรมชาติของมัน ไว้สื่อความหมายกันกับเรื่องของโลกเขา แต่เพราะใจเรามีตัณหา ตัณหาความทะยานอยากไปเกาะเขาเอง ไปรับรู้เขาเอง ไปแบกรับเขานะ ถ้าเขาติเตียนมาก็แบกรับเสียจนทุกข์มาก ถ้าเขาสรรเสริญมาก็แหม! เหมือนว่าวเชือกขาดเลย ดีใจสุดๆ เลยว่าเขาว่าเราเป็นคนดี...นี่ปุถุชนไง ปุถุชนไปตามโลกธรรม ๘

กัลยาณปุถุชนเห็นภัยของมัน สิ่งนี้เป็นภัย ถ้าสิ่งนี้เป็นภัย สิ่งนี้เป็นการสื่อความหมาย รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร ไม่ใช่ตัวของมาร ตัวของมารคืออยู่ที่ใจของเรา ถ้าตัวของมารมันอยู่ที่ใจของเรา เราใช้ปัญญาใคร่ครวญสิ่งนี้ มันจะปล่อยวางสิ่งนี้ ปล่อยวางจนเห็นโทษของมัน มันจะขาด ถ้าขาดคือกัลยาณปุถุชน

กัลยาณปุถุชน คือ การปล่อยวาง ปล่อยวางเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียง

รูป รส กลิ่น เสียงนี่รับรู้แต่มีสติพร้อมตลอด รับรู้ต่างๆ สื่อความหมายก็รู้ คุยกันก็รู้ รับทราบต่างๆ การสื่อสารเข้าใจหมด แต่มันมีสติพร้อม รู้แล้วก็ปล่อยๆ ไม่แบกรับเป็นความทุกข์ยาก ไม่แบกไว้จนหลังหัก ถ้าไม่แบกไว้จนหลังหัก เห็นไหม ควบคุมจิตได้ง่าย นี่กัลยาณปุถุชน

ความสงบอย่างนี้ใช้ไป ทำอย่างนี้คือปัญญาอบรมสมาธิ

ถ้ากำหนด พุทโธ พุทโธ คือสมาธิอบรมปัญญา

ปัญญาอย่างนี้ขึ้นมาเป็นกัลยาณปุถุชน

แล้วมีอำนาจวาสนาน้อมไปเห็นกาย น้อมไปเห็นกายนะ วิปัสสนากาย แล้ววิปัสสนากายถ้าจับกายได้เป็นความเห็นจากตาในนะ แล้วมันปล่อยวาง พอมันปล่อยวาง เวลาปล่อยวางเราก็เข้าใจว่านี่เป็นธรรม นี่สุกเอาเผากินไง แล้วเวลามันเสื่อม เวลาปล่อยวางเราก็เข้าใจว่านี่เป็นธรรม เราเข้าใจนะ เราเข้าใจว่าเป็นธรรม แต่มันเป็นตทังคะ มันเป็นของชั่วคราว มันไม่ใช่สมุจเฉทปหาน

ถ้ามันสมุจเฉทปหานมันต้องหมั่นคราดหมั่นไถ คือหมั่นการพิจารณาบ่อยครั้งเข้า การพิจารณามันก็ต้องใช้กำลังใช่ไหม มันก็ต้องใช้สมาธิ มันต้องใช้สติ มันมีการกระทำ พอเราสุกเอาเผากิน เราไม่ละเอียดรอบคอบ เราปล่อย เราเข้าใจว่านี่เป็นธรรม “เราเข้าใจว่า” แต่มันไม่เป็นความจริง มันไม่เป็นอริยสัจ มันเป็นความเข้าใจ มันเป็นสภาวธรรมที่มันตทังคะ

เวลาเสื่อมมา เวลาถอยออกมา มันเสื่อม หมดเลย ที่ว่าเศรษฐี เหมือนล้มละลาย เหมือนเศรษฐีล้มละลายคืออย่างนี้ไง คือเราสร้างสมขึ้นมา กว่าจะเดินมา กว่าจะก้าวเดิน กว่าจิตนี้จะควบคุม กว่าจิตนี้จะพัฒนาขึ้นมา จนเข้าไปทำงานเป็นคือเดินโสดาปัตติมรรค

ผู้ที่เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมด้วยใจ นี้คือการวิปัสสนา

ผู้ที่เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมโดยสามัญสำนึก โดยการคาดหมาย อันนี้เป็นสมถะทั้งหมด

แต่เขาเข้าใจกันว่าเป็นวิปัสสนา วิปัสสนา ถึงว่าเห็นนามรูป พิจารณาคือวิปัสสนา...ไม่ใช่ พิจารณานามรูป การพิจารณาต่างๆ มันเป็นโดยสามัญสำนึก สิ่งที่เป็นสามัญสำนึกนี่เป็นปุถุชน เป็นโลกียธรรม สิ่งที่เป็นโลกียธรรม แต่เพราะเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เราศึกษาธรรมมาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสุตมยปัญญา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การกำหนด การตั้งสติ การธรรมะต่างๆ สิ่งนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ขณะที่เรา เราเป็นปุถุชน ขณะที่เราพิจารณาอยู่อย่างนี้ เราพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมโดยความเป็นจริงนี่แหละ สิ่งที่เป็นจริงเพราะอะไร เพราะมันเป็นโลกียปัญญา เพราะเราเป็นปุถุชนสติพร้อมขนาดไหน มันจะปล่อยวางขนาดไหน มันปล่อยวางมาเพื่อว่าง ปล่อยวางมาเพื่อจิตมันสงบ ถ้าจิตสงบอย่างนี้มันจะเป็นวิปัสสนาไปไหน ถ้าเป็นวิปัสสนา ถ้ามันปล่อยวางอย่างนี้ กิเลสมันต้องขาดสิ...กิเลสมันไม่ได้ขาด กิเลสมันไม่สะเทือนเลยเพราะอะไร

เพราะมันปล่อยวางจากเปลือกของใจเข้ามา มันปล่อยวางจากอารมณ์ไง มันปล่อยวางจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน มันปล่อยวางจากปุถุชนนะ แล้วก็ปล่อยวางมาก็เป็นสมถะคือกัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนนี้ต่างหากถึงย้อนขึ้นไป ถ้าจิตสงบเข้ามาไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม อันนี้ต่างหากถึงเป็นวิปัสสนา

วิปัสสนาคือจิตต้องมีพื้นฐานของสัมมาสมาธิ เพราะสัมมาสมาธินี้จะทำให้จิตนี้เป็นโลกุตตรปัญญา ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ เราคิดโดยจิตสำนึกนี้มันจะเป็นโลกียปัญญา

โลกียปัญญาคือกิเลสเราเต็มหัวใจ กิเลสเรานี้โดยปุถุชนเรามีกิเลส เรามีทิฐิของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ทิฐิมานะของบุคคลละเอียดหยาบต่างกัน สิ่งที่ละเอียดหยาบต่างกัน ปัญญาใคร่ครวญออกมามันถึงละเอียดหยาบแตกต่างกัน สิ่งที่ละเอียดหยาบต่างกันผลที่สุดของความคิดนี้ หรือผลที่สุดของการใช้กำหนดคำบริกรรมนี้มันจะปล่อยวางเข้ามา ถ้าปล่อยวาง จะใช้ปัญญาขนาดไหนมันปล่อยวางมามันคือสมถะ มันคือศีล สมาธิไง มันคือสมาธิคือการปล่อยวาง เป็นสมถะมันถึงไม่เป็นวิปัสสนา

ถ้าวิปัสสนามันจะมีสมาธิตัวนี้ มันใช้กำหนดรูป รส กลิ่น เสียงต่างๆ ที่ออกมาจากภายนอก หรือกำหนดกาย เวทนา จิต ธรรม ที่ว่ากำหนดนี้มันพิจารณาเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา นี้จะเป็นกัลยาณปุถุชน เป็นสมาธินะ

แต่ถ้าไม่มีสติ คิดว่ากำหนดวิปัสสนาคือกำหนดนามรูปมาแล้ว แล้วมันปล่อยวางมาแล้ว...สิ่งที่นี้กำหนดมามันไม่มีสติไง ไม่มีสติมันเลยบอกว่าจิตนี้ จิตนี้ควบคุมไม่ได้ จิตนี้เป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้

แต่ถ้ามีสติมันจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันปล่อยวางเข้ามา มันจะมีสติ มีความรู้สึก คนมีสติไม่ใช่คนบ้านะ คนบ้าไม่มีสติ ถ้าคนมีสตินี่ไม่บ้า ถ้าไม่บ้า เวลาจิตสงบเข้ามามันจะเห็นความเป็นไปของมัน มันจะเห็นว่าจิตนี้สงบเข้ามา สตินี้ควบคุมจิตเข้ามา จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้ปล่อยวางเข้ามา พอปล่อยวางเข้ามามันได้รับรสของสมาธิธรรมไง นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ดัดแปลงจิต ดัดแปลงจิตมันจะปล่อยวางเข้ามาแล้วมันมีรสชาติ รสชาติคือว่ามันสงบ มันมีความสุข มันปล่อยภาระรุงรังของใจ มันปล่อยวางแล้วปล่อยเล่า ทำความสงบบ่อยๆ

ถ้าทำความสงบบ่อยๆ จิตมันตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่น ยิ่งจิตตั้งมั่นสมาธิยิ่งเด่นมาก สตินี้เด่นมาก สิ่งที่สติกับจิตที่มันเด่นขึ้นมา จิตมันจับต้องไม่ได้อย่างไร จิตเป็นนามธรรมตรงไหน? จิตนี้เป็นนามธรรมแต่จับต้องได้ จับต้องได้ด้วยสติ สตินี้จับต้องจิตเข้ามา มันจะปล่อยวางจิตเข้ามา ปล่อยวางอารมณ์ ปล่อยวางภาระเข้ามา ถ้ามันไปซึมซับอยู่กับความคิด กับภาระต่างๆ มันถึงไม่เห็นตัวมันไง คิดไปหมด แบกไปหมด รู้ไปหมด มีปัญญามากที่สุดแต่ไม่เห็นตัวมัน

แต่มันปล่อยที่ว่ามันรู้ไปหมด มันฉลาดไปหมด มันปล่อยเขาเข้ามาทั้งหมด มันจะเป็นตัวมัน ถ้าเป็นตัวมันมีสติเห็นไหม ถึงเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสติ มันเป็นนามธรรมมันจับต้องไม่ได้ มันไม่มี นั้นเป็นมิจฉาสมาธิ เป็นมิจฉานะ เป็นมิจฉาเพราะไม่มีสติ

มรรค ๘ มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสัมมาสติมันจะเป็นมรรค ๘ ไปได้ไหม ถ้ามรรคไม่มีองค์ ๘ มันไม่เป็นทางอันเอก มันเป็นมรรคของใคร? มันเป็นมิจฉามรรค มันเป็นมิจฉาสมาธิ มันเป็นมิจฉามรรคเป็นมรรคของกิเลส เป็นมรรคของกิเลสที่มันสร้างขึ้นมา ไม่ใช่มรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเป็นมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมมีไว้ดัดตน ถ้าธรรมมีไว้ดัดตนเพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเป็นสาวก-สาวกะ เราเป็นชาวพุทธ เรามีผู้รู้ แล้วถ้าเรากำหนดสัมมาสมาธิขึ้นมา เราจะพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมาธิธรรม

“สมาธิธรรม” รสชาติของสมาธิ สิ่งนี้เกิดจากใจ เรารู้จากใจของเรา การประพฤติปฏิบัติมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก รู้ขึ้นมาจากหัวใจ รู้ขึ้นมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางธรรมไว้ นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมและวินัย แล้วเราใช้ธรรมและวินัยเป็นกรอบเข้ามา จนเข้ามา

ใหม่ๆ การประพฤติปฏิบัติของเรามันจะขรุขระเพราะอะไร เพราะการกระทำของเรา เรากิเลสท่วมหัว เป็นกิเลสทั้งตัว แล้วการประพฤติปฏิบัติมันต้องมีความผิดพลาดโดยธรรมดา

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ววางธรรมไว้ ธรรมและวินัยนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจที่เสวยวิมุตติสุขนี้วางไว้ กับใจของเราที่มีกิเลส เวลาไปประพฤติปฏิบัติมันถึงมีการกระทบกระเทือน มันถึงมีการบกพร่อง มันถึงมีความไม่สะดวกสบายของจิต

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ ธรรมและวินัยเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วิมุตติสุขนี้แล้ววางไว้ แต่ใจของเรากิเลสท่วมหัว มันพยายามประพฤติปฏิบัติกำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันสงบเข้ามา มันมีความร่มเย็นเข้ามา ถ้ามีสติขึ้นมา นี่มันเป็นสัมมา มันเป็นความถูกต้อง สัมมาคือความถูกต้อง ถ้าเป็นมิจฉามันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันดัดแปลง มันทำให้ใจออกไปข้างนอก ให้ไปสร้างธรรมของกิเลสขึ้นมาเทียบเคียงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้ามันส่งออก มันจินตนาการออกไป มันจะสร้างธรรมของกิเลสขึ้นมา แล้วธรรมของกิเลสนี่นะมันเป็นอนิจจัง มันไม่คงที่หรอก แต่ถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัญญาโกณฑัญญะ พระปัญจวัคคีย์พร้อมพระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะเห็นสภาวะของจิตสิ่งที่มันเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดก็แล้วแต่ สิ่งใดเกิดขึ้น

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับทั้งหมด”

สิ่งที่ดับทั้งหมดเห็นไหม เพราะมันเป็นธรรมชาติแต่ไม่มีใครเคยไปเห็น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ออกมาจากวิมุตติจิตนะ แล้วจิตของพระอัญญาโกณฑัญญะ จิตนี้สงบเพราะประพฤติปฏิบัติอุปัฏฐากมา ๖ ปี ฐานนี้ควรแก่การงาน แล้วเอาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามให้เอาจิตนี้น้อมออกให้เห็นตาม

พอเห็นตาม “สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา” เพราะการเห็นอันนั้นเป็นมรรค การเห็นของพระอัญญาโกณฑัญญะเห็นสัจจะตามความเป็นจริง แล้วมันปล่อยวางตามความเป็นจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์เลย “พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ สงฆ์องค์แรกของโลกเกิดแล้วหนอ”

นี่ธรรมดัดแปลงจิต มันดัดแปลงได้ขนาดนั้น พอดัดแปลงอย่างนี้มันไม่ใช่ธรรมของกิเลสที่สร้างจินตนาการขึ้นมาที่มันเป็นอนิจจัง ธรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปล่งอุทานนี่เป็นอกุปปธรรม

อกุปปธรรมคือไม่มีการเสื่อม ไม่มีการแปรสภาพอีกแล้ว มันเป็นอฐานะที่มันจะเสื่อมสภาพอันนั้นไป สิ่งที่จิตเข้าไปถึงเกาะเกี่ยวได้ขนาดนั้น สงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นมาแล้วของโลก สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่การกระทำตามสัจจะความจริงของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมของกิเลสที่มันสร้างสมขึ้นมานะ

ถ้าธรรมของกิเลสมันสร้างขึ้นมา มันสร้างขึ้นมาเพราะว่าจิตมันก็สงบได้ จิตมันก็ปล่อยวางได้ จิตมันปล่อยวาง ความเป็นจริงของมันมันก็ปล่อยวางโดยธรรมชาติของมัน

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา...” เวลาเราขี้ทุกข์ขี้ยาก เวลาเราทุกข์มาก ถ้าความทุกข์อันนี้เป็นความจริงนะ เราจะดำรงชีวิตไปได้ยากเลย ทุกข์ขนาดไหน จนเศร้าโศก จนสะสมมาที่ใจ แต่ถ้ากาลเวลามันผ่านไปเราก็คลายทุกข์ ทุกข์อันนี้มันคลาย สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของมัน เกิดขึ้นนี่มันไม่มีอะไรคงที่หรอก

แต่เรา เพราะกิเลสมันไปยึดมัน มัดมันไว้กับจิต คิดว่ามันจะอยู่กับเรา ทุกข์อยู่นั่นแหละ แต่เวลากาลเวลาผ่านไปมันก็จางไปเป็นธรรมดา แต่เราไม่ได้ประโยชน์กับมันอีกด้วย เพราะเราไม่เห็นจริง ไม่ได้รู้จริงตามความจริงเลย นี้เพราะมันรู้โดยจิตที่ไม่เป็นสัมมาสมาธิ

ถ้าจิตมันมีสมาธิจากภายใน มันเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม โดยสัจจะความจริงนะ นี้คือไตรลักษณะ นี้คือพระไตรลักษณ์ ทุกข์...“สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

ความเป็นอนัตตาของมัน มันจะแปรสภาพให้เราเห็น พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นอย่างนี้ไง เห็นว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา” โดยตาของใจ โดยมรรคญาณ ไม่ใช่เราเห็นโดยกิเลสพาเห็น

ถ้ากิเลสพาเห็นนี่มันเห็นแล้วมันก็ทุกข์อย่างนั้น ทุกข์แล้วทุกข์เล่านะ ทุกข์มันจางไปกาลเวลาผ่านไป ทุกข์หายไป เดี๋ยวก็ทุกข์อีก เพราะอะไร เพราะมันมีเชื้อ เหมือนมันมีเชื้อ เหมือนเชื้อนั้นอยู่ในหัวใจของเรา แล้วเรามีของแสลงคือกระทบ สิ่งที่ไปกระทบนะ มันกระทบกับสิ่งใด ถ้ามันกระทบสิ่งที่มันถูกใจ มันยิ่ง...ของแสลงนั้นถ้ามันถูกโรคของมัน มันยิ่งฟูขึ้นมา

นี้ก็เหมือนกันเวลามันปล่อยวางก็ว่า นี่ว่าง นี่สบาย สิ่งนี้เป็นธรรม นี่ธรรมของกิเลสมันเสื่อมสภาพ เศรษฐีล้มละลาย

ถ้าล้มละลายนะ กว่าจะเริ่มทำขึ้นมาใหม่ เศรษฐีล้มละลายกับผู้ที่เขาประพฤติปฏิบัติโดยที่เขาไม่เคยเป็นเศรษฐี เขาทำได้ง่ายกว่า สิ่งที่ง่ายกว่า เขาก็ทำของเขาไป ประกอบเล็กผสมน้อย มีเล็กผสมน้อยผสมเข้าไป มันก็ทำตามแต่อำนาจวาสนา แต่เศรษฐีก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อยเหมือนกัน เพราะเราเป็นเศรษฐีมา แล้วเราล้มละลาย แต่หัวใจมันเคยมีเคยเป็นมันทุกข์นะ ถ้ามันเป็นสภาวธรรมของกิเลส มันจะเป็นสภาวะแบบนี้

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่ละเอียดรอบคอบ สุกเอาเผากินแล้วจะไม่ได้ธรรมตามความเป็นจริง

ผู้ที่ละเอียดรอบคอบ เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเชื่อครูบาอาจารย์ผู้ชี้นำนะ ครูบาอาจารย์ผู้ชี้นำเหมือนผู้ใหญ่ที่เคยผ่านผลงานอย่างนี้มา แล้วเราประพฤติปฏิบัติ เวลาเราออกประพฤติปฏิบัติ นักวิชาการ อยากมีพี่เลี้ยง อยากมีผู้ที่ส่งเสริม นี้เหมือนกันเรามีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์นี้ประพฤติปฏิบัติมาจากใจ ใจนี้มันสมบุกสมบันมาก่อน ใจดวงนี้ใจเหมือนกัน

น้ำ สภาวะน้ำ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน แต่รูปร่างของคนต่างกัน นี่ก็เหมือนกัน ใจเหมือนกันความรู้สึกธาตุรู้เหมือนกัน แต่จริตนิสัยต่างกันบ้าง ขนาดว่าต่างกันบ้าง ขณะที่ประพฤติปฏิบัติมาจากใจ ใจมันชำระกิเลส เห็นไหม มันดัดแปลงจิต ใช้ธรรมนะ ธรรมมีไว้ดัดแปลงจิต ธรรมมีไว้ดัดแปลงตน แล้วเราซื่อสัตย์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธรรมและวินัย ทำต่อหน้า ถ้าผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ทำลับหลัง ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูกเหมือนกัน ทำต่อหน้าและทำลับหลังมีผลเหมือนกัน มีผลเหมือนกันเพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ผลเหมือนกัน เราถึงต้องซื่อสัตย์กับเรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติไป แล้วเราจะดัดแปลงใจของเราได้

ใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมควรกับที่เราเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เกิดเป็นมนุษย์นี่ก็มีบุญกุศลส่วนหนึ่ง พบพระพุทธศาสนาก็มีกุศลมหาศาลเลย ได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงโดยครูบาอาจารย์องค์ไหนก็แล้วแต่ นั้นคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใน ๕,๐๐๐ ปี นี้ไม่มีใครรู้จริงหรอก ไม่มีใครค้นคว้าได้เองหรอก เพราะนี้คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ได้ฟังธรรมด้วย แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติ แล้วจิตนี้มันเป็นขึ้นมาจากหัวใจของเรา มันเป็นสันทิฏฐิโกของเรานะ ไม่มีใครหลอกเราได้หรอก เราทำของเราเอง ทุกข์ก็ทุกข์ในหัวใจ เวลาสุขก็สุขในหัวใจ แล้วถ้ามันสมุจเฉทปหาน “ยถาภูตํ” บรรลุขึ้นมา แล้วมีญาณหยั่งรู้อีกด้วย ญาณทัสสนะ รู้ว่าพ้นแล้ว เอวัง